โครงการฝ่าวิกฤติด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ ดำเนินงานโดยมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มุ่งดำเนินงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากของชุมชนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการว่างงานเมื่อต้องประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ และ ศรีสะเกษ ผลแห่งความสำเร็จภายหลังการน้อมนำแนวพระราชดำริเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำควบคู่ไปกับการสร้างงานให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้พื้นที่ 5 จังหวัด 5 อำเภอ 5 โครงการ มีน้ำสำหรับทำการเกษตรถึง 4,314 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น 608 ครัวเรือน ซึ่งนับเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์แก่ประชาชนอย่างมหาศาล
ปิดทองหลังพระ ชุบชีวิตสร้างชุมชนจากแนวพระราชดำริ
เพราะ “น้ำคือชีวิต” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2529 คือแนวทางสำคัญที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ยึดถือปฏิบัติเพื่อช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับแผ่นดินไทยรวมถึงใช้แก้ไขปัญหาเมื่อทั่วทั้งสังคมต้องพบกับภัยจากโรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่เข้ามาในสังคมไทยเป็นระลอกแรก มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจหากแต่เร่งแก้ไขปัญหา ดังที่คุณจำเริญ ยุติธรรมสกุล ที่ปรึกษาสถาบัน ปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ รักษาการเลขาธิการมูลนิธิรากแก้ว กล่าวว่า “ในระยะแรกมูลมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ จัดทำพื้นที่ต้นแบบขึ้นใน 9 จังหวัด ได้แก่ น่าน อุทัยธานี เพชรบุรี อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเข้าสำรวจข้อมูลผู้ว่างงานและค้นหาแหล่งน้ำที่มีความชำรุดเสียหาย นำมาสู่การอนุมัติโครงการ 543 โครงการครอบคลุม 100 อำเภอ ซึ่งจะยังประโยชน์ให้กับเกษตรกรถึง 39,855 ครัวเรือน พื้นที่เพาะปลูกถึง 174,430 ไร่ให้ได้รับน้ำเพื่อการเกษตร ส่วนในระยะที่ 2 จะมุ่งพัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตรในลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำสาขา ซึ่งข้อมูลจากสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติชี้ว่าประสบปัญหาภัยแล้งอยู่เสมอ ครอบคลุมพื้นที่ 9 จังหวัดได้แก่ นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร ประกอบด้วยโครงการย่อยทั้งหมด 500 โครงการ ดำเนินงานในระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 216 ล้านบาท”
![](/assets/frontend/images/project/life_topic3_01.jpg)
ประสานพลังเครือข่ายร่วมกันพัฒนาน้ำอย่างยั่งยืน
การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” บนฐานคิดที่มุ่งเน้นให้คนไทยสามารถ “พึ่งพาตนเองได้” โดยบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำมาสู่การทำความเข้าใจ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และอยู่บนฐานที่ประชาชนในพื้นที่โครงการมีส่วนร่วมในการคิด วางแผน และปฎิบัติในแต่ละขั้นตอนให้มากที่สุด
การดำเนินการเริ่มจากการสร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ก่อนที่จะเริ่มงานซึ่งประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่ร่วมโครงการจะเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มแรกผ่านการคัดเลือกของทีมงานมูลนิธิฯ บนฐานคิดที่จะพัฒนาคุณภาพของประชาชนที่เข้ามาเป็นบุคลากรให้สามารถทำงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และภาคส่วนอื่น ๆ โดยหวังผลว่าในที่สุดแล้ว ชุมชนจะสามารถมีส่วนร่วม ตั้งแต่การปรับปรุง ซ่อมแซม และเสริมประสิทธิภาพแหล่งน้ำ ระบบกระจายน้ำ และพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรหลังจากมีน้ำ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่สามารถฝ่าวิกฤติสังคมไทยด้วยวิธีการที่ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดได้ในอนาคต ซึ่งเป็นการประยุกต์ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมซึ่งโครงการวางไว้เป็นหลัก
ฝ่าวิกฤติโควิด-19 เพื่อชุมชนไทยพูนสุข
มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ พร้อมรับการเผชิญปัญหาจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และทำงานตามที่คุณจำเริญ ยุติธรรมสกุล กล่าวว่า “มูลนิธิปิดทองหลังพระทำงานโดยยึดหลัก สืบสาน รักษา ต่อยอด โดยมีการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องทฤษฎีใหม่ เริ่มจากการพัฒนาระบบน้ำ การปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมที่ชำรุดและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรเพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่รอดในภาวะวิกฤติ” ซึ่งต้องอาศัยความเข้มแข็งจากชุมชน ดังเช่น “การระเบิดจากข้างในซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเป็นฐานสำคัญในการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมการพัฒนาสู่สังคมภายนอก”
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและชุมชนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ทางมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ จึงสนับสนุนเพียงวัสดุอุปกรณ์ ส่วนพี่น้องประชาชนต้องสละแรงในการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ส่งผลให้ชุมชนมีแหล่งน้ำใช้อย่างยั่งยืน